แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - waanbotan_

หน้า: [1] 2 3 4
1
ในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน การดำเนินงานไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสร้างผลกำไร แต่ยังต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนต้องการเงินทุนสนับสนุนเพื่อ "ต่อลมหายใจ" ให้ธุรกิจสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับบทบาทของ KTC ในการนำเสนอ สินเชื่อต่อยอดธุรกิจ และ สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน

การสนับสนุนจากภาครัฐและสถาบันการเงิน
ปัจจุบัน ทั้งภาครัฐ (โดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และสถาบันการเงิน ต่างให้การสนับสนุนภาคเอกชนที่ประกอบกิจการซึ่งอาจก่อให้เกิดมลพิษ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น โรงพยาบาล โรงแรม หรือโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้มีเงินทุนในการก่อสร้าง ปรับปรุงระบบ หรือจัดหาอุปกรณ์ที่ช่วยกำจัดของเสียและควบคุมมลพิษให้เป็นไปตามกฎหมาย
KTC ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคเอกชนเช่นกัน ด้วยผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลาย ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการเติบโตของธุรกิจและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

1. สินเชื่อเพื่อการต่อยอดธุรกิจ: ขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ
KTC เข้าใจถึงความต้องการของธุรกิจในการขยายตัวและรักษาสภาพคล่อง จึงได้นำเสนอสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ:
สินเชื่อฟื้นฟูธุรกิจ: สำหรับกิจการที่ต้องการเงินทุนเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์และปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมีระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนานถึง 10 ปี เพื่อให้คุณมีเวลาในการวางแผนและดำเนินงาน
สินเชื่อคู่ค้าพารวย: ช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจมีเงินทุนสำหรับจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบมาขายได้ก่อน แล้วจึงค่อยชำระเงินทีหลัง ทำให้กระแสเงินสดในธุรกิจหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง: เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอต่อการดำเนินงานประจำวัน ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่เพียง 4% ต่อปี ช่วยให้คุณบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินได้อย่างมั่นใจ
2. สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม: ลงทุนเพื่อโลกและธุรกิจที่ยั่งยืน
KTC ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมในการดำเนินธุรกิจ จึงได้พัฒนา สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน:
สินเชื่อเพื่อการบำบัดมลพิษ: สินเชื่อนี้ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ต้องการลงทุนในระบบหรืออุปกรณ์ในการบำบัดมลพิษที่เกิดจากการดำเนินงาน หรือสำหรับธุรกิจที่รับจัดสร้างระบบบำบัดมลพิษให้แก่ผู้อื่น จุดเด่นคืออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดเพียง 2% และให้ระยะเวลาผ่อนชำระยาวนานถึง 7 ปี โดยมีข้อกำหนดพิเศษคือ ไม่ต้องชำระเงินต้นในช่วงแรก ทำให้ธุรกิจมีสภาพคล่องในการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่และมีแรงจูงใจในการปรับปรุงกิจการให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

สินเชื่อเสริมอื่นๆ จาก KTC ที่ช่วย "ต่อลมหายใจ"


นอกเหนือจากสินเชื่อหลักข้างต้น KTC ยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจและช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น:
สินเชื่อขยายธุรกิจ: เพื่อสนับสนุนการเติบโตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของกิจการ โดยให้วงเงินกู้สูงสุด 3 เท่าของมูลค่าหลักประกัน และกู้ได้ไม่เกิน 7 ปี
สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง (เงินหมุนเวียน): ช่วยให้ธุรกิจมีเงินสดเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวัน ด้วยวงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยคงที่ในช่วง 2 ปีแรก
สินเชื่อระยะยาว: สำหรับการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องการระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน โดยสามารถผ่อนได้นานถึง 48 เดือน
สินเชื่อหมุนเวียนส่วนบุคคล: แม้จะไม่ใช่สินเชื่อเพื่อธุรกิจโดยตรง แต่มีความสำคัญในยามฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล เพราะสุขภาพของผู้ประกอบการที่ดีก็เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปต่อได้

ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน ล้วนมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันสนับสนุนการประกอบกิจการเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบทบาทในการจัดหาสินเชื่อประเภทต่างๆ ที่ช่วย "ต่อลมหายใจ" ให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ บรรลุเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างบริการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมในที่สุด สามารถดูข้อมูลสินเชื่อหมุนเวียน ที่ https://forum.car-today.com/index.php?topic=23318.new#new
กู้เงินเปิดร้าน ที่ https://forum.car-today.com/index.php?topic=23318.new#new
สินเชื่อ od ที่ https://forum.car-today.com/index.php?topic=23318.new#new




2
สำหรับคนทำงานในต่างประเทศหรือผู้ที่ต้องการส่งเงินข้ามพรมแดน ปัญหาหนึ่งที่มักเจอคือความซับซ้อนของขั้นตอนการ โอนเงินไปต่างประเทศ ซึ่งแตกต่างจากการโอนในประเทศอย่างมาก เนื่องจากต้องผ่านระบบมาตรฐานสากลอย่าง SWIFT และยังได้รับผลกระทบจาก Time Zone ของประเทศปลายทาง บทความนี้จะพาคุณมาไขข้อข้องใจว่าทำไมการโอนเงินระหว่างประเทศต้องใช้ระบบนี้ ข้อควรรู้เกี่ยวกับระยะเวลาและค่าธรรมเนียม รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับวงเงินในการโอน

SWIFT Code คืออะไร? กุญแจสำคัญในการโอนเงินระหว่างประเทศ
SWIFT Code หรือชื่อเต็มคือ Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication หากอธิบายง่ายๆ คือ รหัสเฉพาะของธนาคาร ที่ใช้ในการระบุตัวตนของสถาบันการเงิน เพื่อการโอนเงินระหว่างประเทศ เนื่องจากมีธนาคารและสถาบันการเงินกว่า 11,000 แห่ง จาก 200 ประเทศทั่วโลก จึงจำเป็นต้องมีรหัสกลางที่บ่งบอกว่าธนาคารนี้มีชื่อว่าอะไร ตั้งอยู่ที่ประเทศไหน เพื่อป้องกันความสับสนและให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างถูกต้อง

การ โอนเงินแบบ SWIFT Code จะใช้ตัวอักษรทั้งหมด 8-11 ตัว เพื่อบ่งชี้ถึงพิกัดของธนาคารที่ทำการโอน ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการโอนเงินจากประเทศไทยไปยัง Bank of America Corporation ในสหรัฐอเมริกา คุณจะต้องใช้รหัส SWIFT Code คือ MLCOUS3GFDS โดย:
MLCO: คือชื่อย่อของ Bank of America Corp.
US: คือรหัสประเทศสหรัฐอเมริกา
3GFDS: คือรหัสบ่งชี้พิกัดย่อยของสาขาในนิวยอร์ก
ในทำนองเดียวกัน หากคนไทยในต่างประเทศต้องการส่งเงินกลับบ้านให้ผู้รับที่เปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย ก็ต้องใช้รหัส SWIFT Code ของธนาคารกรุงไทยคือ KRTHTHBK (KRTH คือรหัสธนาคาร, TH คือรหัสประเทศไทย, BK คือที่ตั้งกรุงเทพฯ) สิ่งสำคัญคืออย่าสับสนกับตัวย่อธนาคารที่ใช้ในวงการตลาดหุ้นและการเงินในไทย เช่น SCB, KTB, TTB, KBANK เพราะนั่นเป็นคนละรหัสกัน
ระยะเวลา ค่าธรรมเนียม และวงเงินในการโอน

ค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศ ด้วยระบบ SWIFT Code ถือว่าค่อนข้างสูงกว่าการโอนเงินด้วยระบบอื่น เนื่องจากมีขั้นตอนการตรวจสอบการฟอกเงินระหว่างประเทศเพื่อความโปร่งใสและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หากคุณเคยทำธุรกรรมกับธนาคารต่างประเทศนั้นๆ มาก่อน การโอนอาจทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เพราะธนาคารมีข้อมูลอยู่แล้ว
ระยะเวลา: โดยเฉลี่ยแล้ว การโอนเงินจะใช้เวลาประมาณ 3-5 วันทำการ
ค่าธรรมเนียม: ธนาคารในไทยส่วนใหญ่จะเริ่มคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำประมาณ 400 บาท และอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมตามข้อกำหนดของแต่ละธนาคาร (เช่น บางธนาคารเก็บค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศส่วนต่างคงที่ 1,200 บาท สำหรับสกุลเงินโซนยุโรป หรือคิดเพิ่มเป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินที่โอน) ซึ่งทำให้การโอนด้วยระบบ SWIFT มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าระบบอื่นอย่าง PayPal ที่ไม่เสียค่าธรรมเนียมโอนโดยตรง แต่จะเก็บในรูปแบบของค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน ซึ่งโดยรวมแล้วมักจะถูกกว่าระบบ SWIFT
วงเงินในการโอน: โดยทั่วไป โอนเงินแบบ swift code จะไม่มีการจำกัดวงเงินในการโอน แต่หากคุณโอนผ่านแอปพลิเคชันมือถือของธนาคาร หากวงเงินเกิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่า) คุณอาจจะต้องยื่นแบบฟอร์มการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศเพิ่มเติม
การโอนเงินผ่านแอป: สะดวก รวดเร็ว แต่ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อม

การโอนเงินต่างประเทศผ่านแอป ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถทำธุรกรรมได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกรุงไทยที่สามารถโอนผ่านแอป Krungthai NEXT ได้ง่ายๆ ด้วยขั้นตอนไม่ยุ่งยาก:
เข้าเมนูโอนเงินต่างประเทศ
เลือกรายการที่จำเป็น เช่น บัญชีสำหรับตัดเงิน, ประเทศปลายทาง, จำนวนเงินและสกุลเงินที่ต้องการโอน
กำหนดผู้จ่ายค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม
ระบุข้อมูลของผู้รับเงินและวัตถุประสงค์ในการโอน
กดยืนยัน เพียงเท่านี้การโอนเงินต่างประเทศผ่านแอปกรุงไทยก็เสร็จสิ้น

ก่อนการเลือกทำรายการโอนเงินต่างประเทศกับธนาคารใด ควรหาข้อมูลและเปรียบเทียบค่าธรรมเนียม วงเงินในการโอน รวมถึงระยะเวลาในการโอน เพื่อให้ได้บริการที่ตรงกับความต้องการในการโอนเงินไปต่างประเทศ swift code ของคุณมากที่สุด



3
ในยุคปัจจุบัน หลายคนเริ่มมองหาวิธีที่จะทำให้เงินออมที่มีอยู่งอกเงย สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากธนาคารแบบเดิมๆ และหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนมือใหม่คือ การลงทุนในกองทุนรวม อย่างไรก็ตาม ชื่อว่าการลงทุนย่อมมาพร้อมความเสี่ยง ดังนั้น การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า กองทุนรวมคืออะไร จึงเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่คุณจะตัดสินใจนำเงินเข้าไปลงทุน

"กองทุนรวม" ทำงานอย่างไร? ภาพรวมสำหรับผู้เริ่มต้น
กองทุนรวม คือการที่นักลงทุนจำนวนมากนำเงินมารวมกันเป็นก้อนใหญ่ แล้วมอบหมายให้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ทำหน้าที่บริหารจัดการเงินทุนเหล่านั้นแทนนักลงทุนแต่ละราย บลจ. จะนำเงินที่รวบรวมได้ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายที่กำหนดไว้ เช่น หุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์, ทองคำ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ทั่วโลก

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจซื้อกองทุนรวมใดๆ คือการ ศึกษาหนังสือชี้ชวน ของกองทุนนั้นๆ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อดูว่ากองทุนนั้นๆ มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด และมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน สรุปง่ายๆ ก็คือ การลงทุนผ่านกองทุนรวม คือการที่เรามีผู้จัดการมืออาชีพมาช่วยบริหารจัดการการลงทุนให้เรา นั่นเอง

ผลตอบแทนที่คุณจะได้รับจาก "กองทุนรวม" มีอะไรบ้าง?
เมื่อคุณเข้าใจหลักการทำงานเบื้องต้นของกองทุนรวมแล้ว สิ่งที่ควรทราบต่อไปคือประเภทของผลตอบแทนที่คุณมีโอกาสได้รับจากการลงทุน:

กำไร/ขาดทุนจากผลต่างราคาหน่วยลงทุน (Capital Gain):
เมื่อมูลค่าของ หน่วยลงทุน ที่คุณถือครองเพิ่มขึ้นจากการที่สินทรัพย์ในกองทุนมีราคาสูงขึ้น และคุณตัดสินใจขายหน่วยลงทุนนั้นออกไปในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา คุณก็จะได้ กำไร ในทางกลับกัน หากมูลค่าหน่วยลงทุนลดลงและคุณขายออกไป คุณก็จะขาดทุน ข้อดีคือ กำไรในส่วนนี้จะได้รับการยกเว้นภาษี

เงินปันผล (Dividend):
กองทุนรวมบางประเภทมีนโยบาย จ่ายเงินปันผล ซึ่งเป็นการแบ่งกำไรที่กองทุนได้รับจากการลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน หากคุณต้องการรับเงินปันผล คุณจะต้องเลือกลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เงินปันผลที่ได้รับนี้จะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย

สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี:
นอกเหนือจากผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว การลงทุนในกองทุนรวมบางประเภท เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ยังมอบ สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการเงินในระยะยาวไปพร้อมๆ กับการลดภาระภาษี

บทสรุปสำหรับนักลงทุนมือใหม่: ทำไมกองทุนรวมจึงน่าสนใจ?
โดยสรุปแล้ว กองทุนรวม เป็นช่องทางการลงทุนที่ เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่เป็นอย่างยิ่ง เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลาศึกษาและติดตามตลาดด้วยตนเอง มีผู้เชี่ยวชาญคอยเลือกสินทรัพย์และบริหารพอร์ตให้คุณ ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากและกระจายความเสี่ยงได้ดี ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการ สร้างความมั่งคั่งจากเงินออม ของคุณ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และ เลือกลงทุนในกองทุนรวมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่มีความน่าเชื่อถือและมีประวัติผลงานที่ดี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายทางการเงินของคุณ
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองทุนรวม http://www.thaibuddytrip.com/forum/showthread.php?tid=99953 กองทุนที่ http://www.thaibuddytrip.com/forum/showthread.php?tid=99953 พันธบัตรรัฐบาลที่ http://www.thaibuddytrip.com/forum/showthread.php?tid=99953 หุ้น DR ที่http://www.thaibuddytrip.com/forum/showthread.php?tid=99953

4
การบริหารจัดการเงินทุนคือหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่มักต้องเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดฝันที่ต้องใช้เงินด่วน บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ สินเชื่อ OD อย่างละเอียด ว่าคืออะไร และใครกันที่เหมาะจะใช้สินเชื่อประเภทนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SME สามารถตัดสินใจเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจของคุณมากที่สุด

สินเชื่อ OD (Overdraft) คืออะไร?
สินเชื่อ OD (Overdraft) หรือที่เรียกกันว่า เงินเบิกเกินบัญชี คือสินเชื่อที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินจัดให้กับลูกค้า โดยหลักการคือการทำให้ บัญชีธนาคาร ของคุณสามารถ ถอนเงินออกมาได้เกินกว่ายอดเงินคงเหลือที่มีอยู่ ตามจำนวนและเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดไว้ล่วงหน้า
จุดเด่นสำคัญของสินเชื่อ OD คือ:
คิดดอกเบี้ยตามยอดที่ใช้จริง: ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยเฉพาะยอดเงินที่คุณเบิกถอนออกมาใช้เท่านั้น เงินส่วนที่ยังไม่ได้เบิกออกจากวงเงินที่ได้รับอนุมัติ จะยังไม่ถูกคิดดอกเบี้ย
ยืดหยุ่นสูง: เงินที่ได้รับอนุมัติสามารถเบิกถอนออกมาทั้งหมด หรือทยอยถอนออกมาตามจำนวนที่ต้องการได้ ภายใต้วงเงินที่ธนาคารกำหนด
ดอกเบี้ยหยุดทันทีเมื่อคืนเงิน: หากคุณนำเงินมาใส่คืนในบัญชีตามจำนวนที่เบิกไปพร้อมดอกเบี้ย ธนาคารก็จะหยุดคิดดอกเบี้ยทันที
สินเชื่อ OD มักถูกให้อยู่ในรูปแบบของ วงเงินเครดิต (credit limit) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยพิจารณาจากความสามารถในการผ่อนชำระหนี้และความเสี่ยงทางการเงินของผู้กู้

สินเชื่อ OD เหมาะกับใคร?
สินเชื่อ OD หรือ เงินเบิกเกินบัญชี ถือเป็น เงินกู้ระยะสั้น หรือ เงินหมุนเวียนฉุกเฉิน ที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเสริมสภาพคล่องในยามที่หมุนเงินไม่ทัน เช่น:
การสต็อกวัตถุดิบ: เมื่อมีโอกาสซื้อวัตถุดิบในราคาพิเศษ หรือมีออเดอร์เร่งด่วน
การจ่ายค่าแรงพนักงาน: ในช่วงที่กระแสเงินสดอาจจะตึงตัวชั่วคราว
ลงทุนระยะสั้น: ในบางกรณี เจ้าของธุรกิจอาจนำไปลงทุนอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนในระยะเวลาไม่นาน
รองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน: สำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่ไม่ได้วางแผนไว้
โดยทั่วไปแล้ว สินเชื่อ OD มักเป็นวงเงินจำนวนไม่มากนัก มีสภาพคล่องสูง หากธุรกิจของคุณต้องการวงเงินจำนวนมากเพื่อการลงทุนระยะยาว อาจต้องพิจารณาสินเชื่อเงินก้อนประเภทอื่นแทน

สินเชื่อ OD (Overdraft) จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการหรือธุรกิจที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:
ธุรกิจที่มีความผันผวนในการใช้เงิน: เช่น ธุรกิจที่มีฤดูกาล หรือกระแสเงินสดเข้า-ออกไม่สม่ำเสมอ
ธุรกิจที่ต้องการเงินทุนสำรอง: สำหรับกรณีฉุกเฉินหรือความต้องการเงินที่ไม่คาดฝัน
ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการเงินทุน: ช่วยให้สามารถบริหารเงินทุนได้โดยไม่ต้องขอสินเชื่อใหม่บ่อยๆ กู้เงินเปิดร้านได้
ผู้ประกอบการที่ต้องการความสะดวกสบายในการถอนเงิน: สามารถเข้าถึงเงินทุนเพิ่มเติมได้ทันทีที่ต้องการ
ธุรกิจที่มีการใช้เงินทุนที่ไม่ใช้เป็นประจำ: การใช้สินเชื่อ OD สามารถเป็นทางเลือกที่รวดเร็วและคุ้มค่ากว่าการกู้เงินก้อนสำหรับวัตถุประสงค์ที่ไม่สม่ำเสมอ

การบริหารจัดการ สินเชื่อ Overdraft (OD) สินเชื่อหมุนเวียน คือการปรับและใช้สินเชื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น ช่วยป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน และสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ SME สินเชื่อ OD อาจเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายไปได้



5
เมื่อหนี้บัตรเครดิตกลายเป็นก้อนใหญ่ที่ยากจะควบคุม หลายคนอาจมองหาทางออกอย่าง การรวมหนี้บัตรเครดิต แต่คุณแน่ใจแล้วหรือว่าเข้าใจมันอย่างถ่องแท้? แท้จริงแล้ว การรวมหนี้มีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะเปิดเผยความจริง เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและไม่พลาดท่าให้กับความเข้าใจผิด

การรวมหนี้บัตรเครดิต: ความหมายที่ถูกต้อง
การรวมหนี้บัตรเครดิต คือการนำยอดหนี้คงค้างจากบัตรเครดิตหลายใบมารวมไว้เป็นยอดเดียว โดยมักจะใช้ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือ สินเชื่อรวมหนี้ ที่อนุมัติมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ เงินที่ได้จากสินเชื่อก้อนนี้จะนำไปชำระหนี้บัตรเครดิตทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อให้คุณมีภาระผ่อนชำระมีหนี้บัตรเครดิตเพียงแค่ยอดเดียวต่อเดือน และอาจได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงกว่าเดิม

3 ความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย
"รวมหนี้แล้ว หนี้หายไปอย่างปาฏิหาริย์!" นี่คือมายาคติที่อันตรายที่สุด! การรวมหนี้ ไม่ใช่การทำให้หนี้หมดไป แต่มันคือการ เปลี่ยนรูปแบบเจ้าหนี้และโครงสร้างการผ่อนชำระ เท่านั้น คุณยังคงมีภาระหนี้เต็มจำนวนที่ต้องรับผิดชอบ เพียงแต่เปลี่ยนจากที่ต้องจ่ายหลายเจ้า หลายวัน เป็นการจ่ายยอดเดียวให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อรวมหนี้แก่คุณ


"เครดิตไม่ดีก็รวมหนี้ได้สบายๆ ไม่ต้องตรวจเครดิต!" ความจริงคือ: ทุกสถาบันการเงินจะทำการ ตรวจสอบประวัติเครดิต ของคุณอย่างละเอียดก่อนอนุมัติสินเชื่อรวมหนี้ ประวัติการชำระหนี้ในอดีตของคุณจะส่งผลโดยตรงต่อ อัตราดอกเบี้ย ที่คุณจะได้รับ หากประวัติไม่ดี ก็อาจถูกปฏิเสธ หรือได้ดอกเบี้ยที่สูงจนไม่คุ้มค่ากับการรวมหนี้


"รวมหนี้เสร็จ คะแนนเครดิตจะสวยงามทันที!" การรวมหนี้อาจส่งผลดีต่อคะแนนเครดิตในระยะยาว หากคุณสามารถผ่อนชำระสินเชื่อรวมหนี้ใหม่ได้อย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา เพราะจะช่วยลดภาระหนี้บัตรเครดิตที่เคยมียอดใช้จ่ายสูงๆ ให้เป็นศูนย์ แต่ในระยะสั้น การที่คุณไป เปิดบัญชีสินเชื่อใหม่ เพื่อรวมหนี้ อาจทำให้คะแนนเครดิตลดลงเล็กน้อยชั่วคราวได้ ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นเมื่อคุณสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดีกับสินเชื่อใหม่นี้


ประโยชน์ที่แท้จริงของการรวมหนี้กู้หนี้นอกระบบ
ลดภาระดอกเบี้ย: หากคุณได้รับสินเชื่อรวมหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตหลายๆ ใบ คุณจะประหยัดเงินค่าดอกเบี้ยไปได้มาก
จัดการหนี้ง่ายขึ้น: ลดความสับสนจากการต้องจำวันครบกำหนดชำระหลายๆ ใบ เหลือเพียงยอดเดียวต่อเดือน ทำให้การจัดการการเงินง่ายขึ้นและลดโอกาสผิดนัดชำระ
วางแผนการเงินมีประสิทธิภาพ: การมีหนี้ก้อนเดียวพร้อมแผนการผ่อนชำระที่ชัดเจน ช่วยให้คุณสามารถจัดสรรงบประมาณและวางแผนการเงินในอนาคตได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

สิ่งที่ควรระวังก่อนตัดสินใจ
ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่การรวมหนี้ ควรศึกษา เงื่อนไขของสินเชื่อรวมหนี้ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้ละเอียดรอบคอบ ทั้งอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และระยะเวลาผ่อนชำระ ที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องมี วินัยทางการเงิน ที่แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับไปสร้างหนี้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอีกหลังจากรวมหนี้ไปแล้ว


6
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ ได้รับการพัฒนาไปไกลกว่าที่เราคิด จากเดิมที่ใช้แค่โอนเงิน ปัจจุบันแอปเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้ช่วยทางการเงินส่วนตัวที่ครบวงจร ช่วยให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นในทุกมิติ ทั้งการประหยัดค่าใช้จ่ายและการทำธุรกรรมที่หลากหลาย ลองมาดูกันว่ามีฟังก์ชันเด็ด ๆ อะไรบ้างที่คุณอาจยังไม่เคยใช้ หรือใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ!

โอนเงินฟรี! ประหยัดกว่าที่คิด
เคยจ่าย ค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างธนาคาร บ่อย ๆ จนยอดรวมเป็นเงินไม่น้อยใช่ไหม? ปัจจุบันนี้คุณสามารถบอกลาค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้เลย! แอปธนาคารบนมือถือส่วนใหญ่ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินต่างธนาคาร ทำให้คุณโอนเงินให้ใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว และขั้นตอนการโอนเงินก็แสนง่าย ไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงไม่กี่คลิกก็เรียบร้อย!

ยิ่งไปกว่านั้น ฟังก์ชันวิธีโอนเงินผ่านแอปยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น:
บันทึกรายการโปรด: สำหรับบัญชีที่คุณโอนบ่อย ๆ แอปจะจดจำไว้ ทำให้ครั้งต่อไปคุณไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำ แค่เลือกบัญชีที่เคยโอนแล้วเปลี่ยนยอดเงินได้เลย
ตั้งเวลาโอนเงินล่วงหน้า: สะดวกมากสำหรับคนที่ต้องโอนเงินเป็นประจำ เช่น ค่าเช่า ค่าผ่อนชำระต่าง ๆ คุณสามารถตั้งให้แอปโอนเงินให้อัตโนมัติในวันที่กำหนด

จ่ายบิลไม่เสียค่าธรรมเนียม!
การจ่ายบิลสาธารณูปโภคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือบิลอื่น ๆ ก็ง่ายแสนง่ายผ่าน ฟังก์ชัน "จ่ายบิลผ่านแอป" คุณสามารถสแกน QR Code/Barcode บนใบแจ้งหนี้ หรือกรอกรายละเอียดของบิลเองในกรณีที่ไม่มีใบแจ้งหนี้อยู่ในมือ สิ่งที่น่าประทับใจคือ การจ่ายบิลผ่านแอปธนาคารส่วนใหญ่จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม ช่วยให้คุณประหยัดเงินในส่วนนี้ได้มาก และยังสามารถตรวจสอบสถานะการชำระเงินได้ทันทีอีกด้วย

กดเงินไม่ใช้บัตร: เมื่อความสะดวกมาพร้อมความปลอดภัย
ลืมกระเป๋าสตางค์ หรือไม่อยากพกบัตร ATM หลายใบ? ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป! ฟังก์ชัน "กดเงินไม่ใช้บัตร" ช่วยให้คุณถอนเงินสดจากตู้ ATM ของธนาคารเดียวกันได้ง่าย ๆ เพียงแค่:
เปิดแอปธนาคารของคุณ
เลือกเมนู "ถอนเงิน" และกรอกยอดที่ต้องการ
ไปที่ตู้ ATM ของธนาคารเดียวกัน เลือกเมนู "ถอนเงินไม่ใช้บัตร"
สแกน QR Code ที่หน้าจอ ATM หรือกรอกรหัสที่แอปให้มา
ง่าย ๆ แค่นี้ คุณก็สามารถกดเงินสดออกมาได้ โดยไม่ต้องพกบัตร ATM ติดตัวเลย ปลอดภัยและสะดวกสบายสุด ๆ

พิเศษ! จ่ายค่าทางด่วนออนไลน์ผ่านแอป สะดวกกว่าเดิม
สำหรับผู้ใช้รถ ไม่ต้องเสียเวลาแวะจุดเติมเงิน Easy Pass หรือ M-Pass อีกต่อไป เพราะแอปธนาคารหลายแห่งมี ฟังก์ชัน "เติมเงิน Easy Pass/M-Pass" โดยตรง คุณสามารถเติมเงินได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้การเดินทางบนทางด่วนของคุณลื่นไหล ไม่มีสะดุด วิธีเติมเงินมือถือ ไม่ต้องกังวลว่าเงินในบัตรจะหมดกลางทางอีกต่อไป



7
การเป็นเจ้าของบ้านคือความฝันของใครหลายคน แต่การแบกรับภาระ ดอกเบี้ยบ้าน ขั้นตอนการซื้อบ้านใหม่ก็อาจทำให้ท้อได้เหมือนกัน บทความนี้จะมาเผย 4 เทคนิคเด็ดที่ช่วยให้คุณ กู้บ้านได้ดอกเบี้ยต่ำ และ ผ่อนหมดไว กว่าที่คิด!

1. รู้จักสินเชื่อให้ดีก่อนกู้
ก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกของสินเชื่อบ้าน สิ่งแรกที่ต้องทำคือการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ธนาคารส่วนใหญ่มักมีวัตถุประสงค์การกู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้านใหม่ บ้านมือสอง ปลูกบ้าน หรือรีไฟแนนซ์ แต่บางแห่งก็อาจมีเงื่อนไขเฉพาะเจาะจง เช่น สินเชื่อสำหรับบ้านมือสองเท่านั้น ดังนั้น ตรวจสอบจุดประสงค์ หลักเกณฑ์ และคุณสมบัติของคุณ ให้ตรงกับเงื่อนไขของสินเชื่อนั้น ๆ ก่อนเสมอ เพื่อไม่ให้เสียเวลาและโอกาส
2. เทียบดอกเบี้ยให้คุ้มค่าที่สุด
เมื่อรู้จุดประสงค์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยบ้าน จากหลากหลายธนาคาร หลายคนอาจมองข้ามจุดนี้ไป แต่จริง ๆ แล้วนี่คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คุณประหยัดเงินได้มหาศาล ลองสำรวจตัวเองก่อนว่าอาชีพหรือสังกัดหน่วยงานของคุณมีสวัสดิการพิเศษที่ธนาคารรองรับดอกเบี้ยต่ำหรือไม่ เช่น บุคลากรภาครัฐหรือบุคลากรทางการแพทย์ หากมี ลองสอบถามฝ่ายสวัสดิการองค์กรเพื่อหาข้อมูลและติดต่อธนาคารนั้นโดยตรง
สำหรับบุคคลทั่วไป การเปรียบเทียบดอกเบี้ยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น หากมีสินเชื่อที่ให้ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 1.99% แต่ให้วงเงินสูงสุดแค่ 1.2 ล้านบาท ในขณะที่คุณต้องการวงเงินสูงกว่านี้ คุณก็ต้องมองหาสินเชื่ออื่นที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ แม้ดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ต้องพิจารณาจากวงเงินที่ได้สูงสุดและความต้องการของคุณเป็นหลัก
3. ผ่อนเกินค่างวด ช่วยลดเงินต้น
นอกจากการหาดอกเบี้ยต่ำแล้ว เทคนิคระหว่างการผ่อนชำระ ก็สำคัญไม่แพ้กัน วิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลดีคือ การผ่อนชำระเกินค่างวด หากค่างวดของคุณอยู่ที่ 10,000 บาท ลองเพิ่มเป็น 12,000 บาทโปะบ้านทุกเดือน เงินส่วนที่เกินจะไปตัดเงินต้นเป็นวิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็วขึ้น และช่วยลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว
4. โปะเงินก้อน และ Retention / รีไฟแนนซ์
เมื่อมีโอกาสได้เงินก้อน เช่น ขายที่ดินได้ หรือได้เงินโบนัสก้อนใหญ่ การ นำเงินก้อนมาโปะค่าบ้าน ถือเป็นวิธีที่ฉลาดมาก เพราะเงินที่โปะเข้าไปจะไปลดเงินต้นโดยตรง ช่วยให้ดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายลดลงอย่างเห็นได้ผล

นอกจากนี้ การ ขอลดดอกเบี้ย (Retention) กับธนาคารเดิมทุก 3 ปี หรือ รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร ไปยังสถาบันการเงินอื่นเมื่อพ้นช่วงปลอดค่าปรับ ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยให้คุณได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง ทำให้ปลดหนี้บ้านได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้


8
แม้บัญชีออมทรัพย์จะเป็นบัญชีพื้นฐานที่ทุกคนมี แต่ในความเป็นจริงอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ต่อปี แทบไม่มีผลต่อการเพิ่มมูลค่าเงินเลย หลายคนจึงเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ในการออมเงิน และหนึ่งในทางเลือกที่มาแรงคือ "บัญชีเงินฝากประจำแบบปลอดภาษี" ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มีงบประมาณในการออมต่อเดือนจำกัด

จุดเด่นของบัญชีประเภทนี้คือการให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป โดยบางธนาคารเสนอสูงถึง 2.0% ต่อปี ที่สำคัญคือไม่ต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ ทำให้ผลตอบแทนที่ได้กลายเป็นรายรับสุทธิจริง ๆ

ผู้ที่ต้องการเปิดบัญชีลักษณะนี้สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยเงินฝากเริ่มต้นเพียง 500 - 1,000 บาทต่อเดือน และต้องฝากในจำนวนเท่าเดิมทุกเดือนจนครบระยะเวลาที่กำหนด เช่น 24 เดือนหรือ 36 เดือน โดยไม่มีการขาดส่งเกิน 2 เดือน หากทำได้ตามเงื่อนไขก็จะได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนดครบถ้วน

หลายธนาคารมีบัญชีประเภทนี้ให้เลือก เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารไอซีบีซี และธนาคารยูโอบี ซึ่งบางแห่งยังมีสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เช่น ประกันอุบัติเหตุฟรีตลอดระยะเวลาการฝาก

เงินฝากดอกเบี้ยสูงแบบปลอดภาษีจึงไม่ใช่แค่ทางเลือกสำหรับการออม แต่ยังเป็นเครื่องมือสร้างวินัยทางการเงินที่จับต้องได้ และตอบโจทย์คนที่ต้องการเริ่มต้นเก็บเงินจากรายได้ที่มีอยู่จำกัด



9
การดูแลสุขภาพของลูกน้อยไม่ใช่แค่เรื่องของอาหารที่ดีหรือการพาไปฉีดวัคซีนตามกำหนดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น อุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ง่ายจากภูมิคุ้มกันที่ยังไม่แข็งแรงเต็มที่

เด็กมีความเสี่ยงต่อโรคภัยและอุบัติเหตุมากกว่าผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้การทำประกันสุขภาพสำหรับเด็กจึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในช่วงวัยที่เด็กยังไม่สามารถบอกอาการของตัวเองได้ชัดเจน การสังเกตเล็กน้อย เช่น ความเซื่องซึมหรืออาการงอแง อาจนำไปสู่โรคที่ต้องรับการรักษาทันที การมีประกันไว้จึงช่วยให้พ่อแม่ตัดสินใจพาลูกพบแพทย์ได้ทันเวลา โดยไม่ต้องลังเลเรื่องค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ ประกันสุขภาพสำหรับเด็กยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกต้องนอนโรงพยาบาลหลายวันหรือมีอาการเรื้อรังที่ต้องพบแพทย์อย่างต่อเนื่อง

ถ้าจะให้คุ้มค่าที่สุด ควรเลือกประกันสุขภาพเหมาจ่าย เพราะครอบคลุมค่าใช้จ่ายรวมทุกหมวด โดยไม่ต้องกังวลว่าแต่ละรายการจะมีวงเงินพอหรือไม่ เช่น “กรุงไทย สุขภาพสุขใจ” ที่ให้ความคุ้มครองตั้งแต่ลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป และมีแผนคุ้มครองแยกตามช่วงวัยให้เลือกตามความเหมาะสมของลูกแต่ละคน

ประกันสุขภาพคือของขวัญจากพ่อแม่ ที่ช่วยให้ลูกได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที และเติบโตได้อย่างแข็งแรงไร้กังวลในทุกวัย และยังสามารถเพิ่มด้วยประกันอุบัติเหตุ



10
หลายคนคิดว่า “การวางแผนเกษียณ” เป็นเรื่องไกลตัว เพราะยังมีรายได้อยู่ทุกเดือน แต่แท้จริงแล้ว หากเริ่มต้นวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ จะยิ่งสบายในอนาคต เพราะเราจะมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณโดยไม่ต้องพึ่งใคร
แม้ว่าเราจะมีรายได้หลังเกษียณ เช่น เงินบำเหน็จ เงินประกันสังคม หรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่หากเทียบกับค่าใช้จ่ายที่รออยู่ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าซ่อมบ้าน หรือค่าผ่อนสินทรัพย์ต่าง ๆ ก็อาจยังไม่เพียงพอ การเตรียมเงินสำรองจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

มาวางแผนเกษียณด้วย 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
กำหนดอายุที่ต้องการเกษียณ
อยากเกษียณตอนอายุ 60 ปี หรือเร็วกว่านั้น? ให้กำหนดเป้าหมายก่อน

ประเมินจำนวนปีหลังเกษียณที่ต้องใช้เงิน
 เช่น หากเกษียณตอนอายุ 60 และคาดว่าจะมีชีวิตถึง 80 ปี นั่นหมายถึงคุณต้องเตรียมเงินใช้สำหรับ 20 ปี

คำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนหลังเกษียณ
 ใช้สูตรง่าย ๆ: ค่าใช้จ่ายปัจจุบัน x 70%
 เช่น ถ้าคุณใช้เงินเดือนละ 20,000 บาท หลังเกษียณจะใช้ประมาณ 14,000 บาทต่อเดือน

ประมาณรายได้ที่จะได้รับหลังเกษียณ
 สำรวจแหล่งรายได้ เช่น เงินบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือประกันชีวิตที่ครบกำหนด

เริ่มออมเงินให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
เลือกช่องทางออมเงินหรือการลงทุนให้เหมาะสม เช่น

- ประกันสะสมทรัพย์: ได้ทั้งคุ้มครองชีวิต ลดหย่อนภาษี และเงินก้อนเมื่อครบกำหนด
- กองทุนรวม SSF / RMF: ลงทุนระยะยาว ได้ลดหย่อนภาษี และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน

หากยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไร ลองปรึกษาเกี่ยวกับลดหย่อนภาษีประกันชีวิตที่ธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีทั้งประกันสะสมทรัพย์ ประกันชนิดลดหย่อนภาษี กองทุนรวมในประเทศและต่างประเทศให้เลือก พร้อมคำแนะนำประกันชีวิตยื่นลดหย่อนภาษีจากผู้เชี่ยวชาญ
จำไว้ว่ายิ่งเริ่มวางแผนเกษียณฉบับมนุษย์เงินเดือนเร็ว ภาระต่อเดือนยิ่งน้อย เริ่มวันนี้เพื่อชีวิตที่อุ่นใจในวันเกษียณ



11
ในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น “ประกันสุขภาพ” จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยง ทั้งในแง่ของสุขภาพและการเงิน แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกประกันสุขภาพ เราควรเริ่มจากการประเมินความต้องการของตนเองให้ชัดเจนเสียก่อน

เลือกจากพฤติกรรมประกันสุขภาพแบบไหนดี กรุงไทย
การเลือกประกันสุขภาพควรอิงจากลักษณะการเจ็บป่วยและการใช้บริการทางการแพทย์ของแต่ละคน เช่น
เข้าโรงพยาบาลบ่อยแบบไม่ต้องนอนพักรักษา: ควรเลือกประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่ารักษาแบบ ผู้ป่วยนอก (OPD) เช่น ค่ายา ค่าปรึกษาแพทย์


ป่วยไม่บ่อยแต่หนักทุกครั้ง: เหมาะกับการทำประกันแบบ ผู้ป่วยใน (IPD) ที่ครอบคลุมค่าห้อง ค่ารักษา และค่าอาหาร พร้อมเสริมด้วย ประกันชดเชยรายได้ เพื่อให้มั่นใจว่าแม้ต้องพักงาน ก็ยังมีรายรับช่วยประคองชีวิต


วางแผนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จากธนาคารกรุงไทย คืออีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 100 ล้านบาทต่อปี และต่ออายุได้ถึงอายุ 90 ปี พร้อมรับส่วนลดค่าเบี้ยประกันเมื่อไม่เคลมนานถึง 3 ปี

ถ้ามีประวัติโรคร้ายแรงในครอบครัว
หากในครอบครัวมีประวัติเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรง เช่น ประกันโรคมะเร็ง หรือโรคหัวใจ การทำ ประกันมะเร็งใจแตก ก็เป็นทางเลือกที่ควรพิจารณา เพราะครอบคลุมมะเร็งทั้งระยะลุกลามและไม่ลุกลาม รวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมอง
ต้องการออกแบบความคุ้มครองเอง

Health DIY จากธนาคารกรุงไทย คือประกันสุขภาพที่เปิดโอกาสให้คุณเลือกความคุ้มครองได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพแบบ IPD, OPD, ประกันอุบัติเหตุ ชดเชยรายได้ หรือคุ้มครองโรคร้ายแรง หรือประกันสะสมทรัพย์ กรุงไทย เป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ดูข้อมูลเกี่ยวกับวิธีลดหย่อนภาษี ได้ที่ https://krungthai.com/th/financial-partner/learn-financial/1220




12
ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการมือใหม่หรือเจ้าของกิจการที่ดำเนินธุรกิจมาระยะหนึ่ง ปัญหาเรื่องเงินทุนมักเป็นอุปสรรคที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้เรารวบรวม 10 แหล่งเงินทุนยอดนิยม ที่ช่วยให้คุณต่อยอดธุรกิจได้จริง

1. ทุนส่วนตัว
ลงทุนด้วยเงินตัวเอง ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย แต่ก็มีค่าเสียโอกาสในกรณีที่เงินส่วนนั้นสามารถนำไปใช้อย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนได้มากกว่า
2. หุ้นส่วน
หาเพื่อนร่วมลงทุนมาช่วยกันแบกรับภาระทางการเงิน และช่วยกันบริหารกิจการ
3. ญาติหรือเพื่อน
การกู้ยืมจากคนใกล้ตัวอาจไม่มีดอกเบี้ยหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ต้องรักษาคำพูดและความสัมพันธ์ให้ดี
4. บริษัทร่วมลงทุน
เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความเชี่ยวชาญเพิ่มเติม หรือเทคโนโลยีที่ตนเองไม่มี โดยจดทะเบียนเป็นกิจการร่วมค้า
5. นักลงทุนเอกชน
เสนอแผนธุรกิจเพื่อดึงดูดนักลงทุนที่สนใจร่วมลงทุนในกิจการของคุณ
6. การเสนอขายหุ้น
เหมาะกับธุรกิจที่เติบโตมากพอและต้องการเงินทุนในวงกว้าง โดยเปิดขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไป
7. สินเชื่อการค้า
เช่น เครดิตจากเจ้าหนี้การค้า ที่ให้เวลาชำระสินค้าภายหลัง เพื่อช่วยลดแรงกดดันทางการเงิน
8. สินเชื่อเพื่อซื้อทรัพย์สิน
สำหรับธุรกิจที่ต้องการลงทุนในเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ โดยจ่ายผ่อนกับสถาบันการเงิน
9. สินเชื่อจากภาครัฐ
มีอัตราดอกเบี้ยต่ำและเงื่อนไขผ่อนชำระนาน เช่น สินเชื่อส่งเสริม SME จากหน่วยงานภาครัฐ
10. สินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์
มีทางเลือกหลากหลาย เช่น สินเชื่อคู่ค้าพารวย (ไม่ต้องใช้หลักประกัน) หรือสินเชื่อ SME ผ่อนนาน 10 ปี จากธนาคารกรุงไทย

วางแผนให้ชัด เลือกแหล่งเงินให้ถูกก่อนเลือกแหล่งเงินทุน อย่าลืมวิเคราะห์ความต้องการของกิจการอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะสินเชื่อเครื่องจักร สินเชื่อเพื่อธรรมชาติสีเขียว เพื่อให้เงินทุนที่ได้มานั้นตอบโจทย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว



13
การเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่าง “สินเชื่อธุรกิจ” คืออีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้กิจการเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ซึ่งปัจจุบันสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชนต่างมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อ SME หลากหลายรูปแบบให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม แต่ก่อนจะยื่นขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจ คุณควรรู้ 4 ข้อนี้ให้ดีก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติและเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับกิจการของคุณที่สุด

1. ต้องจดทะเบียนการค้าก่อน
สถาบันการเงินให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของผู้กู้ การจดทะเบียนพาณิชย์หรือการจดทะเบียนนิติบุคคลจึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นมาก เพราะแสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีตัวตนจริง สามารถตรวจสอบได้ และเป็นการลดความเสี่ยงให้กับผู้ให้กู้ได้ในระดับหนึ่ง
2. มีหรือไม่มีหลักประกันก็ต้องวางแผนให้ชัด
ถ้าคุณต้องการวงเงินสูง อัตราดอกเบี้ยต่ำ และระยะเวลาผ่อนชำระที่ยาวนาน การใช้หลักประกัน เช่น เงินฝาก พันธบัตร หรืออสังหาริมทรัพย์ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติ แต่หากคุณไม่มีหลักทรัพย์ ก็ยังสามารถขอสินเชื่อได้ เพียงแต่ต้องยอมรับว่าอัตราดอกเบี้ยอาจสูงกว่า และมีระยะเวลาผ่อนชำระที่สั้นลง
3. เอกสารต้องครบตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร
การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเอกสารหลักจะประกอบด้วยข้อมูลของธุรกิจ เช่น หนังสือรับรองบริษัท และงบการเงินย้อนหลัง รวมถึงเอกสารประจำตัวของผู้ลงนาม ควรตรวจสอบกับธนาคารก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลาในการยื่นคำขอ
4. สร้างภาพลักษณ์การเงินที่ดีให้กับธุรกิจ
สถาบันการเงินจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้จากการเดินบัญชีของกิจการ ดังนั้นคุณควรบริหารบัญชีอย่างมืออาชีพ หลีกเลี่ยงการถอนเงินก้อนใหญ่ทันทีเมื่อมีรายรับเข้า และพยายามให้บัญชีมีรายการเดินเข้าออกที่สม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

การขอสินเชื่อสินเชื่อธุรกิจ SME สินเชื่อชนิดระยะยาว ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณเตรียมตัวมาดีพอ นอกจากข้อมูลในเอกสารแล้ว การเข้าพบเจ้าหน้าที่สินเชื่อโดยตรงยังเปิดโอกาสให้คุณเข้าใจเงื่อนไขวิธีแก้หนี้นอกระบบ ติดหนี้บัตรเครดิตเพิ่มเติม หรือต่อรองในรายละเอียดบางจุดได้อีกด้วย



14
หลายคนเผชิญปัญหาหนี้บัตรเครดิตจากการใช้จ่ายเกินตัว เป็นหนี้นอกระบบทําไงดี แม้จะรู้ว่าควรระวัง แต่ในชีวิตจริงกลับเผลอรูดจ่ายโดยไม่วางแผนจนกลายเป็นภาระก้อนโต หากคุณกำลังติดหนี้บัตรเครดิต นี่คือแนวทางที่ช่วยให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้ ปิดหนี้บัตรเครดิตได้เร็วและยั่งยืน

1. หยุดก่อหนี้ใหม่ แล้วเริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
เทคนิคขอสินเชื่อก่อนจะเริ่มจ่ายหนี้ ต้องหยุดใช้จ่ายเกินตัวเสียก่อน แล้วลงมือทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อมองหาค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหรือตัดออกได้ การมีภาพรวมการเงินที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณวางแผนปิดหนี้ได้ดีขึ้น เช่น การขายของที่ไม่จำเป็น หรือหารายได้เสริมมาช่วยจ่ายหนี้
2. โฟกัสบัตรที่ดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน
หากมีหนี้หลายใบ อย่าจ่ายเท่ากันทุกใบโดยไม่มีแผน ให้เลือกปิดบัตรที่คิดดอกเบี้ยแพงที่สุดก่อน เพราะจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยโดยรวมได้เร็วขึ้น ติดต่อธนาคารเจ้าของบัตรเพื่อขอเงื่อนไขผ่อนชำระพิเศษ หากปิดหนี้บัตรแรกได้แล้ว ค่อยไปต่อที่ใบถัดไปตามลำดับดอกเบี้ย
3. รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตเป็นทางเลือกที่ดี
หากคุณยังมีเครดิตดีและหนี้ไม่เกินเกณฑ์ รีไฟแนนซ์บัตรเครดิตอาจเป็นคำตอบ โดยนำสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาปิดหนี้ทั้งหมด แล้วผ่อนชำระกับเจ้าหนี้เพียงรายเดียว เช่น ธนาคารที่ให้วงเงิน 5 เท่าของรายได้ หากคุณมีรายได้เดือนละ 40,000 บาท ก็อาจกู้ได้สูงสุด 200,000 บาท ควรเช็คเงื่อนไขและวงเงินที่อนุมัติจริงให้แน่ชัดก่อนยื่นกู้เงินธนาคารปิดหนี้นอกระบบ



15
การลงทุนในกองทุนรวมไม่ใช่แค่เรื่องของการ “ซื้อแล้วรอ” แต่เป็นกระบวนการที่ต้องติดตามและประเมินผลอยู่เสมอ เพราะแม้จะมีผู้จัดการกองทุนช่วยดูแลการลงทุนให้ แต่การเข้าใจและติดตามผลตอบแทนด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้คุณวางแผนอนาคตทางการเงินได้อย่างมั่นใจและแม่นยำมากขึ้น

1. เริ่มจากเข้าใจประเภทของกองทุนที่คุณถือ
กองทุนรวมมีหลายประเภท เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น กองทุนผสม หรือกองทุนตลาดเงิน ซึ่งแต่ละแบบมีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต่างกัน การรู้ว่าคุณลงทุนอยู่ในกองทุนประเภทไหน จะช่วยให้คุณประเมินผลตอบแทนได้อย่างเข้าใจมากขึ้น
2. ใช้เครื่องมือให้เป็นประโยชน์
เว็บไซต์การเงิน แอปฯ ลงทุน หรือแพลตฟอร์มของบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง สามารถแสดงข้อมูลย้อนหลังของกองทุน เปรียบเทียบผลตอบแทน รวมถึงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด ใช้ให้เป็น แล้วคุณจะประเมินกองทุนที่ลงทุนได้แบบไม่ต้องเดา
3. ตรวจสอบเป็นประจำ ไม่ใช่แค่ปลายปี
ไม่จำเป็นต้องเช็กทุกวัน แต่การวางแผนตรวจสอบผลตอบแทนเดือนละครั้ง หรือทุกไตรมาส จะช่วยให้คุณมองเห็นแนวโน้มของพอร์ตการลงทุน และรู้ทันความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
4. เทียบกับดัชนีอ้างอิง
กองทุนมี “Benchmark” หรือดัชนีชี้วัดที่ใช้เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน หากกองทุนที่คุณถืออยู่ทำผลงานต่ำกว่าดัชนีนี้อย่างต่อเนื่อง ก็เป็นสัญญาณว่าควรพิจารณาทางเลือกใหม่
5. อย่ามองข้ามค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมบริหาร ค่าขายคืน ค่าซื้อขาย ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนที่หักจากผลตอบแทนที่คุณจะได้รับ เพราะฉะนั้นการลงทุนที่ดูเหมือนให้ผลตอบแทนสูง อาจไม่คุ้มค่าหลังหักค่าใช้จ่ายออกแล้ว ตรวจสอบก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ
6. พร้อมปรับพอร์ตเมื่อจำเป็น
หากผลตอบแทนไม่เป็นไปตามเป้า หรือเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง นักลงทุนควรกล้าที่จะปรับพอร์ต เช่น ย้ายไปกองทุนที่เหมาะกับสภาวะตลาด หรือกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่น เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน

การติดตามผลตอบแทนจากกองทุนรวมให้ได้ผลดี ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขกำไร-ขาดทุน แต่คือการเข้าใจประเภทกองทุน ใช้เครื่องมือให้เกิดประโยชน์ ติดตามอย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์เทียบกับดัชนีอ้างอิง และกล้าปรับกลยุทธ์เมื่อต้องการ นี่คือทักษะสำคัญที่นักลงทุนประกันชีวิตแบบไหนดี2566ทุกคนควรมีติดตัว



หน้า: [1] 2 3 4